เริ่มต้นทำธุรกิจ เปิดร้าน เปิดกิจการใหม่ ปี 2022 SMEs ควรต้องทำช่องทางออนไลน์ ลงโซเชียลตัวไหนบ้าง เว็บไซต์ สำคัญยังต้องสร้างไหม Social Media ตัวไหน ควรต้องเปิดแอคเคาท์บัญชี ในชื่อแบรนด์ของร้าน ของธุรกิจ บทความนี้ขอเปิดซีรีย์ใหม่ ในชื่อซีรีย์ SME Go Online เอสเอ็มอีไทย ก้าวไกลสู่ยุค 5.0 รู้จักการผสานการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์
คำถามที่แอดมินนิว ได้รับบ่อยๆ เมื่อมีคนติดต่อจ้างผม ปักหมุดธุรกิจลง Google Maps ให้กับร้านต่างๆแล้ว บางท่านมักมาถามผมต่อว่า ธุรกิจของเขาควรจะสร้างช่องทางออนไลน์ อะไรอีกบ้าง ซึ้งผมได้ตอบ และแนะนำไปให้หลายๆธุรกิจ SMEs ในแต่ละหมวดหมู่ เท่าที่พอจะมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนั้นๆมา หรือตอบไปให้จากประสบการณ์ที่เราก็ดูแลการตลาดออนไลน์ มา10กว่าปีที่ผ่านมา และเห็นว่า Top Business ในอุตสาหกรรมนั้นๆ เขามี Online Channel อะไรบ้าง
บทความนี้ เลยอยากมาเขียนและบรรยายเป็นคลิป (ด้านล่าง) ให้ทุกท่านได้รับชมกัน เพราะ Digital Marketing ในปี 2565 (2022) มันจะแตกต่างไปจากปีก่อนๆที่ผ่านมาเยอะ New Normal ใหม่ของผู้บริโภคหลังจากเจอโรคระบาดโควิด-19 มา2ปี แล้ว ได้ทำการเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกค้า ไปต่างจากเดิมเยอะมาก ใครไม่ปรับตัว ก็จะอยู่ยากขึ้น เพราะทุกธุรกิจต่างก็ต้องดิ้นรน หนีตาย จากการเปลี่ยนไปของวิถีชีวิตแบบใหม่กัน
คำศัพท์ทางการตลาดคำนึงที่อยากให้รู้จักกันคือ OMNI CHANNEL MARKETING หรือการผสมผสานกันของช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ของธุรกิจ แต่เนื้อหาเชื่อมโยงต่อเนื่อง เป็นอันนึงอันเดียวกัน เพราะลูกค้ายุคนี้หาข้อมูลออนไลน์ก่อน แล้วพอถึงเวลาตัดสินใจซื้อสินค้า ก็อาจมีบางส่วน กดหาหมุด Google Maps แล้วมาซื้อที่หน้าร้านจริง // หรือบางคนก็อาจจะมาเจอบูธสินค้าของเราก่อนที่หน้าร้านจริง แล้วสนใจสินค้าแต่ขอพิจารณาเพิ่มเติม ด้วยการไปดูรายละเอียดใน Social Media – Website ของธุรกิจก่อน หรืออ่านรีวิวจากคนอื่นๆก่อน จนมั่นใจแล้ว ถึงกดสั่งซื้อ หรือมาที่หน้าร้านเพื่อซื้อสินค้าอีกครั้งนึง
เดิมที หลายๆร้านค้า หลายๆธุรกิจในปีที่ผ่านๆมา เวลาคิดถึงช่องทางออนไลน์ที่ร้านต้องทำ ก็มักจะคิดว่าฉันจะทำ Facebook Page และปักหมุดลงกูเกิลแมพ 2อย่างก็พอแล้ว ใครๆก็ทำกัน 2 ช่องทางนี้ หรือบางธุรกิจก็อาจมีเพิ่งช่องทางแชทผ่าน LINE OA เพื่อพูดคุยกับลูกค้า ก็มักจะเจออยู่แค่ไม่เกิน 3 ชาแนลแพลตฟอร์มนี้เท่านั้นเอง
แต่เริ่มปี 2022 ผมมาบอกเลยว่า การมีแพลตฟอร์มออนไลน์เพียงแค่นี้ ไม่พอแล้วแน่ๆ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่า Facebook Page นั้นมีการ ลด Reach หรือลดการมองเห็น ไปจากเดิมเยอะมากๆ โพสต์คอนเทนต์อะไรออกไป มีคนเพียงนิดเดียวที่เห็นโพสต์ของเรา เพจที่มีคนกดLike กดติดตามหลักหมื่นคน ทุกวันนี้โพสต์คอนเทนต์ไป มีคนเห็นแค่หลักไม่กี่ร้อยคน คนกดไลท์ยิ่งเหลือแค่หลักสิบเท่านั้น เพราะเฟสบุ๊คก็ต้องกดการมองเห็นเอาไว้ เพื่อหวังให้เจ้าของร้านซื้อโฆษณา (กดบูสโพสต์) หรือลงโฆษณา เพิ่มยอด engagement เพิ่มยอด Like Share อยากมีคนเห็นโพสต์เยอะๆจึงจำเป็นต้องจ่ายตังค์
แผนผังรูปนี้ จะสื่อให้เห็นว่า ถ้าร้านๆนึง ได้ทำช่องทางออนไลน์ Social Media ต่างๆไว้หลายช่องทาง ทั้ง Facebook , Instagram , Twitter , Youtube channel , Google Maps , TripAdvisor , Wongnai , edtguide , Pantip โอกาสที่ลูกค้าจะเล่นโซเชียลตัวไหนอยู่ก็ตาม มันสามารถเชื่อมโยงกลับไปหาเว็บไซต์หลัก ของธุรกิจได้ทั้งหมด หรือเชื่อมโยงไปยังโซเชี่ยลตัวอื่นๆของธุรกิจได้อีก ทำให้ได้รับข้อมูลสินค้าเรามากขึ้น โอกาสซื้อสินค้าก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
หรือ Flow ของลูกค้าอาจจะมาเจอคอนเทนต์ของเราจาก Social ตัวใดตัวนึงแล้วสนใจสินค้า/บริการของเรา แล้วเชื่อมโยง ทำให้ลูกค้าค้นหาข้อมูลของเราได้มากขึ้น จากช่องทางต่างๆที่เราได้ทำเอาไว้
เช่น Content จาก Facebook Post แล้วเห็นว่าร้านเรามีเว็บไซต์ จึงกดเชื่อมมาที่เว็บหลักของธุรกิจ พอดูสินค้าจนสนใจ ก็ค้นหา หมุดปัก Google Maps ของร้านแล้วกดนำทาง มาหน้าร้านจริงๆได้ นี้คือตัวอย่างการเชื่อมโยงลูกค้าจาก Online ไป Offline มากขึ้น
คลิปอธิบายแบบละเอียดได้ที่คลิปนี้
ติดตามทริค เทคนิค และความรู้ต่างๆเกี่ยวกับ Google Maps / Google My Business ได้ที่
Facebook : กูเกิลแมพ ใช้เป็น ประโยชน์เยอะ https://www.facebook.com/usefulmaps/
Website : https://usefulmaps.in.th/
Youtube : https://bit.ly/Usefulmaps-YT